“อีลอน มัสก์” ผู้บริหารสูงสุดของเทสลา กล่าวว่า “บริษัทคงถูกปิดไปนานแล้ว” หลังมีรายงานว่า จีนแบนรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา เพราะกังวลเรื่องกล้องภายในรถที่ “อาจเป็นเครื่องมือสอดแนม”

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ว่านายอีลอน มัสก์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของบริษัทเทสลา ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ระดับโลกของสหรัฐ กล่าวเมื่อวันเสาร์ ระหว่างเข้าร่วมงานเสวนารายการหนึ่ง จัดโดยมูลนิธิที่ได้รับความสนับสนุนจากสภารัฐกิจ หรือคณะรัฐมนตรีจีน โดยเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบออนไลน์ ว่าหากเป็นความจริงที่เทสลาใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองเพื่อการจารกรรมข้อมูล ไม่ว่าในจีนหรือที่ใดก็ตาม บริษัทคงถูกปิดกิจการไปนานแล้ว

ขณะเดียวกัน มัสก์เรียกร้องให้ทั้งสหรัฐและจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลกตามลำดับ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เพื่อผลประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่าย ทั้งนี้ เทสลาเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองนอกสหรัฐเป็นแห่งแรก ที่นครเซี่ยงไฮ้ของจีน เมื่อปี 2562 และมัสก์ได้มีโอกาสเข้าพบนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ซึ่งเสนอมอบบัตรผู้อยู่อาศัยถาวร หรือ “ไชน่า กรีน การ์ด” ให้กับซีอีโอของเทสลา

ท่าทีดังกล่าวของมัสก์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังรอยเตอร์และบลูมเบิร์กเสนอรายงานโดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าว ว่ากองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ( พีแอลเอ ) ไม่อนุญาตอย่างเด็ดขาด ในการให้รถยนต์ทุกรุ่นของเทสลาเข้าสู่พื้นที่แห่งใดก็ตาม ซึ่งอยู่ภายใต้ความดูแลของพีแอลเอ เนื่องจากมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับระบบกล้องภายในรถยนต์ ว่าอาจเป็นอุปกรณ์สอดแนม
 
ด้านพีแอลเอและรัฐบาลปักกิ่งยังไม่เคยให้ความเห็นอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้ อนึ่ง ยอดขายรถยนต์ของเทสลาในจีนอยู่ที่ 147,445 คัน เมื่อปีที่แล้ว คิดเป็น 30% ของรถยนต์ทั้งหมดที่เทสลาส่งออกไปยังต่างประเทศ